เศรษฐกิจพอเพียง “...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดีและประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย ... ... คนเรา ถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณ ตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง ...” “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะ แนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๓๐ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำใช้ได้ในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัวระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ความพอเพียง หมายถึง (ความพอประมาณ ความมีเหตุผล) รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอก และภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกใน คุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรู้ที่เหมาะสม ในการดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี ความพอเพียง จะต้องประกอบด้วย ๓ คุณลักษณะ ดังนี้ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ ไม่ใช้จ่ายเกินกำลังความสามารถในการหารายได้ของตน ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ เช่น คิดก่อนใช้ สิ่งใดจำเป็นหรือไม่จำเป็น ใช้จ่ายอย่างประหยัด และแบ่งปันเกื้อกูลต่อสังคม การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลง ด้านต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การเก็บออมเงินไว้ใช้ เมื่อเกษียณอายุจากการทำงาน หรือใช้ในยามฉุกเฉิน การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้พอเพียง ต้องอาศัยความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน ประกอบอาชีพที่สุจริต ด้วยความขยันหมั่นเพียร ใช้สติปัญญาในการตัดสินใจต่าง ๆ เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง เราทุกคนสามารถนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต ได้ดังนี้ พอประมาณ : รายจ่ายสมดุลกับรายรับ ใช้จ่ายภายในกำลังความสามารถของตน ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ไม่โลภจนเบียดเบียนตัวเองหรือผู้อื่น ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม มีเหตุผล : ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล มีความจำเป็น ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ประหยัด ไม่ใช้สิ่งของ เกินฐานะ ไม่เล่นการพนันหรือเสพสิ่งเสพติด รู้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ มีภูมิคุ้มกัน : รักษาสุขภาพกายสุขภาพใจให้แข็งแรง พัฒนาความรู้ความสามารถของตนเองอย่าง ต่อเนื่อง มีเงินเก็บออม ทำบุญ และแบ่งปันช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ความรู้คู่คุณธรรม : ประกอบอาชีพที่สุจริต ด้วยความขยันหมั่นเพียร ซื่อตรงต่อหน้าที่และยืนหยัด ในความถูกต้อง อุทิศตนเพื่องาน ทำงานเพื่องาน ทำงานอย่างผู้รู้จริง รู้รักสามัคคีหากเราทุกคนนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาน้อมนำประพฤติปฏิบัติ นอกจากจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างพื้นฐานของจิตใจของคนในชาติ ให้มีความพอดี มีคุณธรรม มีความสุขที่แท้จริง ไม่หลงยึดติดในโลกแห่งวัตถุนิยมการจัดทำบัญชีเงินออมครัวเรือน บันทึกรายรับและรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยตรวจสอบการใช้จ่ายของครอบครัวว่า มีรายจ่ายสมดุลกับรายรับ ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลตามความจำเป็น พอเหมาะกับสภาพของครอบครัวหรือไม่ หากสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นหรือฟุ้งเฟ้อเกินตน จะช่วยให้สามารถมีเงินเก็บออมเพื่อเป็นรากฐานสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีสำหรับชีวิตในอนาคต

ทำนาอย่าเอาแต่ข้าว

ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เป็นคำกล่าวที่คนเราๆได้ยินกันมาตั้งแต่วัยเด็กๆ เดิมการทำนาของชาวนาเป็นการทำนาเพื่อเลี้ยงชีพ ผืนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่ครั้งโบราญกาล ดังคำกล่าวที่ว่า “น้ำมีปลา ในนามีข้าว.

การปลูกลูกยอ และการ นำมาใช้

ยอบ้านเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ดังนั้นอายุในการปลูกจนถึงให้ผลผลิตจึงสั้น อยู่ราวๆ 2-3 ปีก็ติดผล คนโบราณนิยมปลูกยอไว้ในบริเวณบ้าน โดยกำหนดปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ (อาคเนย์) เชื่อว่าจะป้องกันจัญไรได้ อีกทั้งชื่อยอยังเป็นมงคลนาม ถือเป็นเคล็ดลับกันว่าจะได้รับการสรรเสริญเยินยอ หรือยกยอปอปั้นในสิ่งที่ดี

หนังสือ คู่ ชีวิตเกษตรกร

หนังสือเล่มนี้ได้รวมรวบเนื้อหาไว้หลายเรื่องด้วยกัน มีแนวคิดทางการเกษตรให้ท่านได้อ่าน การวางแผนการทำเกษตร การคิดหาตลาด การวางรูปแบบพื้นที่ และการแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่มีที่ดินให้มีงานทำสร้างรายได้ให้ตนเอง.

เนื้อหาสำหรับผู้ที่จะทำการค้าขาย

การประกอบอาชีพในสังคมนี้ คนมีที่ดินมาก ที่ดินน้อย หรือไม่มีที่ดินเลยก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน อยู่ที่หลักคิดของท่านว่าท่านคิดอย่างไรกับอนาคต ท่านมีอะไรดีในตัวที่ท่านสามารถนำมาพัฒนาเป็นเงินเป็นทอง.

การเลี้ยงปลาแบบธรรมชาติ

วัสดุในประเทศไทยที่ไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ ทั้งๆที่มีประโยชน์ แต่กลับถูกทิ้งอย่างไร้คุณค่ามีอยู่ 2 อย่างคือ ฟางข้าว และน้ำมะพร้าว ทั้งสองอย่างนี้มีปริมาณมหาศาลในแต่ละปี แต่กลับไร้คุณค่า ในเรื่อของการนำฟางข้าวมาเลี้ยงปลา ความคิดนี้เป็นของคุณ มงคล ทวีสิน .

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

ไก่ดำสายพันธ์มองโกเลีย


 ไก่ดำสายพันธุ์มองโกเลีย  นั้นมีลักษณะแบบเดียวกับไก่ทั่วไปทุกอย่างเพียงแต่ว่ามี สีดำทั่วทั้งตัวเท่านั้น นั่นคือ หนังสีดำ เนื้อสีดำ กระดูกสีดำ และก็เครื่องในสีดำ ไก่ดำที่เลี้ยงในเมืองไทยเป็นไก่ดำเลือดผสมเนื่องจากเลี้ยงมานานจึงทำให้ผสม ข้ามสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จึงทำให้มีไก่ดำที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ

การเลี้ยงไก่ดำมองโกลเลีย

ไก่ดำคือไก่พื้นเมืองชนิดหนึ่งที่รูปร่างสวยงามซึ่งมีสีดำทั้งตัวโดยมีต้นกำเนิดมา จากมองโกเลียส่วนนอก
ไก่ดำนั้นมีลักษณะแบบเดียวกับไก่ทั่วไปทุกอย่างเพียงแต่ว่ามี สีดำทั่วทั้งตัวเท่านั้น นั่นคือ หนังสีดำ เนื้อสีดำ กระดูกสีดำ และก็เครื่องในสีดำ ไก่ดำที่เลี้ยงในเมืองไทยเป็นไก่ดำเลือดผสมเนื่องจากเลี้ยงมานานจึงทำให้ผสม ข้ามสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จึงทำให้มีไก่ดำที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ
ไก่ดำคือไก่พื้นเมืองชนิดหนึ่งที่รูปร่างสวยงามซึ่งมีสีดำทั้งตัวโดยมีต้นกำเนิดมา จากมองโกเลียส่วนนอก
ไก่ดำนั้นมีลักษณะแบบเดียวกับไก่ทั่วไปทุกอย่างเพียงแต่ว่ามี สีดำทั่วทั้งตัวเท่านั้น นั่นคือ หนังสีดำ เนื้อสีดำ กระดูกสีดำ และก็เครื่องในสีดำ ไก่ดำที่เลี้ยงในเมืองไทยเป็นไก่ดำเลือดผสมเนื่องจากเลี้ยงมานานจึงทำให้ผสม ข้ามสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จึงทำให้มีไก่ดำที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ
ไก่ดำมองโกลเลีย เป็นสายพันธุ์หนึ่งของไก่ดำ เป็นสัตว์เศรษฐกิจ ที่มีความต้องการในตลาดประเทศจีน ที่มีความเชื่อในสรรพคุณยาของไก่ดำ ซึ่งมีองค์ประกอบ ขนดำ หนังดำ เล็บดำ เนื้อเทาดำ และกระดูกก็สีเทาดำ

การเลี้ยงไก่ดำตามหลักการง่าย ๆ คือเกษตรกรต้องเอาใจใส่ดูแลในการเลี้ยง
ให้น้ำสะอาดตั้งไว้ให้ไก่กินตลอดทั้งวันและคอยเปลี่ยนน้ำทุก ๆ วัน ให้อาหารผสมทุกเช้า-เย็น
เพิ่มเติมจากอาหารที่ไก่หากินได้ตามปกติ เช่น ปลายข้าว รำข้าว ปลาป่น ข้าวโพดป่น ข้าวเปลือก กากถั่ว กากมะพร้าว

หัวอาหารไก่สำเร็จรูปชนิดเม็ด หรือการให้หัวอาหารไก่สำเร็จรูปผสมลงในรำข้าวปลายข้าว หรือข้าวเปลือก เป็นวิธีการที่สะดวกที่สุด สามารถหาซื้อได้ง่ายและผสมเองได้ ช่วยให้ไก่เจริญเติบโตเร็ว มีเปลือกหอยป่น และเศษหินตั้งทิ้งไว้ให้ไก่กินเพื่อเสริมแคลเซียมและช่วยย่อยอาหาร และ ให้หญ้าสด ใบกระถินหรือผักสดให้ไก่กินทุกวัน

ดูแลความสะอาดภาชนะอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในโรงเรือนและบริเวณใกล้เคียงด้วยน้ำสะอาดและยาฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ลักษณะโรงเรือนจะต้องระบายอากาศได้ดี ป้องกันลมโกรก หรือฝนสาด ด้านหน้าประตูเข้าโรงเรือนจะต้องมีอ่างน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับจุ่มเท้าก่อนเข้าโรงเรือน ไก่จะต้องได้รับอาหาร และน้ำที่สะอาด
ต้องทำการประมาณอาหารในแต่ละวันให้พอดีกับความต้องการของไก่ไม่ควรเหลือสะสมไว้ และน้ำควรเปลี่ยนเช้า เย็น และทุกวัน

กรณีมีไก่ป่วยควรแยกไก่ป่วยออกจากฝูง เพื่อป้องกันการระบาดไปยังไก่ตัวอื่นในฝูง ถ้าไก่ป่วยตายควรเผาหรือฝังซากทันที

ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หรือมีการเคลื่อนย้าย ไก่อาจป่วยได้ ควรละลายไวตามินให้ไก่กินทั้งฝูง เพื่อให้ไก่แข็งแรงและมีสุขภาพดี

ทำการถ่ายพยาธิไก่ทุก 4 เดือน อย่างสม่ำเสมอ ควรมีตู้ยาประจำฟาร์ม ประกอบด้วยยาปฏิชีวนะ ยาบำรุง และไวตามิน และก่อนนำไก่จากภายนอกเข้ามาเลี้ยงควรกักดูอาการก่อนอย่างน้อย 15 วัน ก่อนนำเข้ารวมฝูง

วิธีการเลี้ยง

เลี้ยงรวมกันกับไก่บ้านทั่วไป
กินอาหารตามธรรมชาติของไก่ทั่วไป คือ ข้าวเปลือก หว่านให้ทั่วแล้วปล่อยให้ไก่ไปจิกกินเอง
แต่พิเศษกว่าก็คือ ทำคอกเลี้ยงไก่ให้อยู่แยกต่างหากจากไก่บ้านทั่วไป ให้อยู่ด้วยกันเฉพาะไก่ดำเท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันการกลายพันธุ์
เลี้ยงไปเรื่อยๆจนไก่ดำพ่อแม่พันธุ์อายุประมาณ 8 เดือน จึงเริ่มจับผสมพันธุ์กัน
เมื่อไข่ฟักออกมาเป็นตัวแล้ว ก็ให้แยกลูกไก่ออกมาส่องไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแทนแม่ไก่ แล้วปล่อยให้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ผสมพันธุ์กันต่อไป
ไก่ดำมองโกลเลียนี้ จะฟักไข่ออกมาเรื่อยๆประมาณคอกละ 8-15 ตัว/ หนึ่งแม่
ไก่ดำมองโกลเลียเป็นพันธุ์ที่ให้ลูกดกมาก สามารถผสมพันธุ์ไปได้เรื่อยๆจนกว่าพ่อแม่พันธุ์จะตาย

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

ไก่ดำมองโกเลีย,ญี่ปุ่น,อินโด,ไก่เบตง

ไก่ดำสายพันธ์มองโกเลีย

ไก่ดำสายพันธุ์มองโกเลีย  นั้นมีลักษณะแบบเดียวกับไก่ทั่วไปทุกอย่างเพียงแต่ว่ามี สีดำทั่วทั้งตัวเท่านั้น นั่นคือ หนังสีดำ เนื้อสีดำ กระดูกสีดำ และก็เครื่องในสีดำ ไก่ดำที่เลี้ยงในเมืองไทยเป็นไก่ดำเลือดผสมเนื่องจากเลี้ยงมานานจึงทำให้ผสม ข้ามสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จึงทำให้มีไก่ดำที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม -->> คลิก
จำหน่ายพันธ์ไก่ดำมองโกเลีย ---> คลิก หรือ ติดต่อได้ที่ คุณ อนุสรณ์ โทร 0878950053



ไก่ดำสายพันธ์ญี่ปุ่น


วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การปลูกมะละกอฮอลแลนด์


การปลูกและการดูแลรักษามะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์
มะละกอเป็นผลไม้ยืนต้น ที่คนไทยนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย ทั้งมะละกอดิบเมนูที่นิยม
กันมากก็คือ ส้มตำ ส่วนมะละกอสุก ก็สามารถนำไปรับประทานสดเพื่อสุขภาพ หรือแปรรูปในลักษณะต่างๆ ที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของการปลูกมะละกอนั้นสามารถทำได้แต่ต้องใช้ความอดทนและการเรียนรู้ตลอด สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวเป็นอย่างดี ซึ่งมีรายละเอียดการปลูกและการดูแล ดังนี้
การปลูกมะละกอฮอลแลนด์ : นิยมปลูกโดยวิธีการเพาะเมล็ดแล้วย้ายกล้าลงแปลงปลูก เมื่อต้นกล้ามี
อายุได้ประมาณ 1 เดือน

วิธีการเพาะเมล็ด 
1. นำเมล็ดมะละกอแช่น้ำ 3 คืน โดยเปลี่ยนน้ำที่แช่บ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง
2. นำเมล็ดมะละกอมาเพาะในถุงดินที่เตรียมไว้โดยให้ใส่ 3-4 เมล็ด/ถุง
3. รดน้ำให้ชุ่ม ประมาณ 9-10 วัน เมล็ดก็จะงอก
4. ทำการรดน้ำพอชุ่มวันละ 1 ครั้ง
ขั้นตอนการเตรียมดินและปลูกมะละกอ :
1. ทำการเตรียมพื้นที่ โดยการไถ ทำการตากดินไว้ประมาณ 5 วัน
2. ขุดหลุมลึกประมาณ 30ซม.ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2.5X 2.5 เมตร 1 ไร่ จะปลูกได้ ราว 250 ต้น และรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์
3. นำต้นมะละกอปลูกในหลุม กลบดินให้แน่น

การดูแลรักษา
 1. รดน้ำพอชุ่ม
2. ใส่ปุ๋ยสูตรผสม12-15-20 โดยระยะการให้ปุ๋ยคือ 1 เดือน/ครั้ง
3. หลังจากที่ลงปลูกมะละกอไปได้ประมาณ 3 เดือน มะละกอทั้ง 3 ต้นที่อยู่ในหลุมเดียวกันจะเริ่มออกดอก ให้ทำการตัดต้นที่เป็นตัวผู้และตัวเมียทิ้ง เหลือไว้แต่ “ต้นกะเทย” เนื่องจากต้นกะเทยจะให้ผลที่ดก และลูกมะละกอที่ออกมาจะยาวสวย เนื้อหนากว่าต้นที่เป็นตัวเมียและตัวผู้ โดยการสังเกตต้นกะเทยนั้นก็ให้ทำการแหวกกลีบดอกดู ถ้าต้นไหนที่มีทั้งเกสรตัวเมียและตัวผู้อยู่ในดอกเดียวกัน
4. หลังจากต้นมะละกออายุได้ 8 เดือนไปแล้ว ก็จะสามารถเก็บผลขายได้ทุกสัปดาห์ ไปจนปี ต้นมะละกอจึงจะหมดอายุ ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ ต้องตัดทิ้ง ปลูกใหม่

เกร็ดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะละกอฮอลแลนด์ 
มะละกอฮอลแลนด์จะให้ผลผลิต เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 100 กก. ต่อ ต้น ตลอดอายุการเพาะปลูก
หลังย้ายปลูก 9 เดือนก็สามารถเก็บผลสุกมะละกอจำหน่ายได้ โดยสังเกตดูที่ผลหากมีแต้มปรากฏอยู่บนผล 2-3 แต้มก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
สภาพอากาศร้อนจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนดอกกระเทยให้กลายเป็นดอกตัวเมีย และถ้ามีอากาศร้อนมาก ๆ จะทำให้มะละกอไม่ติดดอกได้ จึงควรให้มีความชื้นอย่างเพียงพอในช่วงที่มีอากาศร้อนจัด
มะละกอจะมีราคาแพงขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน

ลักษณะประจำพันธุ์ของมะละกอฮอลแลนด์
 มะละกอฮอลแลนด์ ลำต้นใหญ่สีเขียว ใบมี 11 แฉกใหญ่ กลางใบมีกระโดงใบ 1 ใบ ก้านใบมีสี
เขียวตั้งขึ้น ดอกออก เป็นช่อ ติดผลดก รูปทรงกระบอกคล้ายลูกฟักอ่อน อายุ เก็บเกี่ยว 8เดือน น้ำหนักผลประมาณ 800-2,000 กรัม ต่อผล เนื้อสีแดงอมส้ม ไม่เละ เนื้อหนา 2.5-3.0เซนติเมตร ความหวานวัดได้ 11-13 องศาบริกซ์ ผลผลิตต่อต้น 60-80 กิโลกรัม จุดเด่นที่มองออกง่ายมากว่าผลมะละกอฮอลแลนด์เป็นอย่างไรนั้น ที่ปลายผลจะป้านคล้ายผลฟักอ่อน
ลักษณะเด่นของมะละกอฮอลลแลนด์ คือ ไม่มีกลิ่นยาง เนื้อหนา รสหวาน เปลือกหนา ทนทานต่อ
โรค ทนทานต่อการขนส่งให้ผลดก เนื้อแน่นแข็ง น้ำหนักดี รสชาติหวาน ทนทานต่อโรค มีตลาดรองรับ มะละกอพันธุ์นี้มีอายุเก็บเกี่ยว 8 เดือน น้ำหนักผลอยู่ที่ประมาณ 0.8-1.2 กก.ต่อผล เนื้อมีสีแดงอมส้ม ไม่เละ เนื้อหนา 2.5-3.0 เซนติเมตร ผลผลิตต่อต้น 60-80กิโลกรัม มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์นี้สามารถปลูกได้เกือบทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง ดินที่เหมาะสมควรเป็นดินเหนียวปนทราย

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกมะละกอฮอลแลนด์ 
สามารถปลูกได้ทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง ดินที่ เหมาะสมมีความเป็นกรดเป็นด่าง5.5-
5.0 ระยะปลูก 2.5×3 เมตร ไร่หนึ่งปลูกได้ 224 ต้น หากปลูกแล้ว ให้น้ำสม่ำเสมอ มะละกอจะให้ผลผลิตที่ดีมาก ปุ๋ยที่ใส่ให้ เริ่มต้นที่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก สำหรับปุ๋ยวิทยาศาสตร์ใช้ สูตร 15-15-15 ระยะที่ติดผลอ่อน ก่อนการเก็บเกี่ยวใส่ สูตร 13-13-21 ใส่รอบๆ ต้น จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ต่อต้น เมื่อปลูกได้ 7-8 เดือน มะละกอฮอลแลนด์จะสุกแก่ เริ่มเก็บได้ ปริมาณผลผลิต หากดูแลปานกลาง จะได้ผลผลิตราว 5-8 ตัน ต่อไร่ 

วิธีการเก็บเกี่ยวมะละกอฮอลแลนด์ 
เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุก 5-10 เปอร์เซ็นต์ คือ ผิวมีแต้มสีเหลืองเล็กน้อย

เทคนิคปลูกมะละกอให้เป็นต้นกระเทย ผลผลิตสูง

ในวงการมะละกอก็เป็นที่รู้กันอยู่นะครับว่า ต้นมะละกอที่ให้ผลผลิตดี และเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด ก็คือมะละกอที่ออกจากต้นสมบูรณ์เพศ หรือเรียกอีกอย่างว่า ต้นกระเทยนั่นเองครับ  แต่เราจะปลูกอย่างไรให้ต้นมะละกอที่เราปลูกเป็นต้นสมบูรณ์เพศเกือบ 100 % มาดูวิธีกันครับ

ก่อนอื่นให้นำต้นกล้ามะละกอที่เตรียมไว้เรียงกระจายไว้ตามหลุมต่าง ๆ หลุมละหนึ่งถุง หลังจากนั้นกรีดถุงพลาสติกออก เอาต้นกล้าวางให้ตรงตำแหน่งระยะปลูกกลางหลุม กลบดินให้แน่นโดยเฉพาะรอบ ๆ ติดกับโคนต้นเพื่อให้รากจับดินใหม่ได้เร็ว ต้นจะตรงกันทุกแถวแล้วรดน้ำให้ชุ่มการปลูกมะละกอเป็นการค้า แม้ว่าจะใช้เมล็ดจากผลมะละกอสมบูรณ์เพศ แต่เมล็ดที่ปลูกจะได้ต้นมะละกอสมบูรณ์เพศเพียง
 66 เปอร์เซ็นต์ อีก 33 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้นเพศเมียซึ่งผลกลมตลาดให้ราคาถูก ถ้าอยากได้มะละกอผลยาวมากขึ้น ให้ปลูกต้นมะละกอให้มากต้นต่อหลุม และตัดต้นเพศเมียออกเมื่อออกดอกแล้ว จะได้ต้นสมบูรณ์เพศมากขึ้น

ต้นกล้ามะละกอที่พร้อมปลูก
แสดงจำนวนต้นต่อหลุมกับอัตราส่วนต้นเพศเมียและต้นสมบูรณ์เพศ

จำนวน 1 ต้นต่อหลุม จะได้ต้นเพศเมีย 33.33 % ต้นสมบูรณ์เพศ 66.67 %
จำนวน 2 ต้นต่อหลุม จะได้ต้นเพศเมีย 11.11 % ต้นสมบูรณ์เพศ 88.89 %
จำนวน 3 ต้นต่อหลุม จะได้ต้นเพศเมีย 3.70 % ต้นสมบูรณ์เพศ 69.30 %
จำนวน 4 ต้นต่อหลุม จะได้ต้นเพศเมีย 1.23 % ต้นสมบูรณ์เพศ 98.77 %

แต่ในทางปฏิบัติใช้ต้นปลูก 2 ต้นต่อหลุมก็พอครับ เพราะในหนึ่งร้อยหลุมหลังจากตัดต้นตัวเมียออกจะเหลือต้นสมบูรณ์เพศเท่ากับ 88.89 x 2 = 176 ต้น ทำให้ได้ผลผลิตขายมากขึ้นด้วย

การให้น้ำมะละกอ 
ถ้าเกษตรกรปลูกมะละกอช่วงต้นฤดูฝนจะช่วงประหยัดทุนและแรงงานในการให้น้ำ โดยเฉพาะในช่วงปลูกใหม่ ๆ จะต้องให้น้ำกับต้นกล้ามะละกอจนกว่าจะตั้งตัวได้ โดยรดน้ำ
 2-3 วันต่อครั้ง และที่สำคัญคือช่วงที่มะละกอออกดอกติดผลเป็นช่วงที่ต้องการน้ำมาก การขาดน้ำจะทำให้ดอกร่วง ผลร่วง ผลไม่สมบูรณ์ การให้น้ำกับต้นมะละอกอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้มะละกอมีผลผลิตสูง โดยเฉพาะมะละกอที่ปลูกในที่ดอนหรือในเขตจังหวัดในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(พื้นที่ดินร่วนปนทราย)

ต้นมะละกอที่สมบูรณ์จะให้ผลดก
การให้ปุ๋ยมะละกอ 
ปุ๋ยมะละกอที่เตรียมไว้สำหรับรองก้นหลุมนั้นยังไม่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของมะละกอ จำต้องมีการใช้ปุ๋ยเสริมเพิ่มขึ้น เพื่อให้มะละกอมีการเจริญเติบโตเต็มที่มีลำต้นที่สมบูรณ์แข็งแรง การใส่ปุ๋ยอินทรีย์จะใส่หลังจากปลูกแล้ว 2-3 เดือนโดยแบ่งใส่ 3-4 ครั้ง ในระยะ 1 ปี ตลอดช่วงฤดูฝน แบ่งใส่ครั้งละประมาณ 5 กิโลกรัมต่อต้น ปุ๋ยวิทยาศาสตร์อาจใช้ปุ๋ยทางใบสูตร 21-21-21 ชนิดที่มีอาหารธาตุรองฉีดพ่นทุก 14 วันต่อครั้ง หลังย้ายปลูกเพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรง โดยใช้ในอัตรา 2-3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร ขณะเดียวกันก็อาจใช้ปุ๋ยทางดินสูตร 15-15-15 อัตราต้นละ 50 กรัม หลังจากย้ายปลูก 1 เดือน และใส่ปุ๋ยทุกเดือนจนถึงเดือนที่ 3 หลังย้ายปลูกจะใส่เพิ่มเป็นต้นละ 100 กรัมทุกเดือน เมื่อมะละกอติดผลแล้วจะใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 100 กรัม ผสมกับยูเรีย อัตรา 50 กรัมต่อต้น
*** วิธีการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ทางดิน ให้ใช้การหว่านลงบนดินบริเวณทรงพุ่ม (รัศมีทรงพุ่มของมะละกอ) แล้วพรวนดินกลบ รดน้ำตามอย่าใส่ปุ๋ยชิดโคนต้น เพราะจะทำให้มะละกอเสียหายได้

การกำจัดวัชพืชในสวนมะละกอ
ในระยะที่ปลูกมะละกอใหม่ ๆ เกษตรกรสามารถปลูกพืชแซมร่วมกับมะละกอในช่องว่างระหว่างแถว ระหว่างต้นได้ เมื่อมีวัชพืชขึ้นควรใช้วิธีการดายหญ้า แต่การดายหญ้าด้วยจอบควรระวังคมจอบสับต้นหรือรากมะละกอจะทำให้ต้นมะละกอชะงักการเจริญเติบโต หรือทำให้เกิดโรครากเน่าได้ ทางที่ดีควรใช้เศษหญ้าแห้งคลุมโคนต้นและแปลงให้หนา ๆ จะทำให้ไม่มีเมล็ดหญ้างอกขึ้นบริเวณนั้น ขณะมะละกอยังต้นเล็ก ห้ามใช้ยาป้องกันกำจัดวัชพืชใดๆ เพราะจะทำให้มะละกอเสียหายได้ ถ้ามะละกอต้นโตแล้วและมีหญ้าฤดูเดียวงอก อาจใช้พาราควอท ฉีดฆ่าหญ้าได้ แต่ระวังอย่าให้โดนใบและผล พาราควอทใช้อัตราประมาณ 60-80 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร

การออกดอกติดผลของมะละกอ
ต้นมะละกอเมื่อย้ายปลูกลงแปลงได้ 8-10 สัปดาห์จะเริ่มออกดอก โดยดอกจะอยู่เหนือก้านใบ และจะเห็นชัดว่าเป็นดอกเพศใด ถ้าเป็นต้นเพศเมียก็ตัดฟันออกในระยะนี้ ถ้าเป็นดอกสมบูรณ์เพศก็เอาไว้บำรุงต้นให้สมบูรณ์แข็งแรงและติดผล เกษตรกรต้องตรวจดูผลที่ติดว่าเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่ติดผลเป็นพลูหรือให้ผลบิดเบี้ยวหรือไม่ ถ้ามีก็ให้ปลิดออกตั้งแต่ผลยังเล็ก ๆ หรือแม้ว่าผลที่ปกติในช่อเดียวกันอาจติดผลมาก ผลที่เบียดกันจะไม่โตทำให้ไม่ได้ขนาดมาตรฐาน ควรปลิดออกเช่นกัน ผลที่ได้มาตรฐานขนาดใกล้เคียงกันจำหน่ายง่าย ในระยะติดผลต้องคอยกลบดินโคนต้นหรือพูนโคนป้องกันการโค่นล้ม เพราะน้ำหนักผลไม่สม่ำเสมอกัน หรือใช้การปลิดผลไม่ให้ต้นรับน้ำหนักมากด้านใดด้านหนึ่งก็ป้องกันต้นโค่นล้มได้

เทคนิคเพาะเม็ดมะละกอด้วยวิธีง่ายๆ
มะละกอ
ในฐานะที่ผมเป็นคนชอบกินมะละกอ ไม่ว่าจะนำไปทำเป็นส้มตำ แกงส้ม หรือมะละกอสุก ก็ต้องปลูกติดบ้านไว้สักหน่อยครับ แค่ 10 กว่าต้น ปีหน้าคิดว่าจะปลูกมะละกอฮอร์นแลนด์ในเชิงธุรกิจ ก็เลยต้องศึกษาหาความรู้เอาไว้ก่อน แต่ถึงจะศึกษามามากมายขนาดไหน..อย่างไร ก็สู้เราทดลองทำเองกับไม่ได้..จริงไหมครับ และในความรู้เรื่องการเพาะเม็ดมะละกอให้งอก 100 % ที่บอกไว้ข้างต้นนี้ ผมได้ทดลองทำแล้วครับ ก็เป็นที่น่าพอใจ จึงต้องแบ่งปันความรู้ให้เกษตรกรท่านอื่นบ้างดังนี้ครับ
6 ขั้นตอนการเพาะเม็ดมะละกอ มีดังนี้
1. เตรียมถุงเพาะชำ (ถุงดำขนาด 2 x 6 นิ้ว) แบบมีช่องระบายน้ำ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายต้นไม้ หรือร้านขายสินค้าเกษตรทั่วไป
2. ใช้ดินร่วน 4 ส่วน ผสมแกลบขาว (ผสมเปลือกถั่ว หรือใบก้ามปูสับ) 6 ส่วน หากเพาะเม็ดมะละกอหน้าฝน ถ้าต้องการให้การระบายน้ำดี ควรใช้ดิน 3 ส่วน แกลบ 7 ส่วน ผสมให้เข้ากัน
3. กรอกดินที่เตรียมไว้ใส่ถุงเพาะชำ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ควรเรียงถุงเพาะเม็ดมะละกอไว้ในที่ร่ม ไม่ให้โดนฝน และไม่ควรให้โดนแสงแดดที่จัดเกินไป
4. แช่เมล็ดมะละกอในน้ำสะอาด 1 คืน โดยไม่ต้องผสมน้ำยาชนิดอื่น
5. นำเมล็ดมะละกอที่แช่น้ำใส่ลงในถุงเพาะ โดยกดเมล็ดให้จมลงไปในดินประมาณ 1 เซนติเมตร ใส่ถุงละ 3 5 เม็ด จากนั้นรดน้ำพอให้ชุ่มวันละ 2 ครั้งช่วงเช้ากับบ่าย ประมาณ 2 - 4 อาทิตย์ ต้นอ่อนจะโผล่ขึ้นมาให้เห็น (แล้วแต่ฤดูกาล) ในแต่ละถุงอาจจะมีมะละกอต้นอ่อนได้ตั้งแต่ 1 - 5 ต้น ห้ามแยกต้นมะละกอในถุงเดียวกัน ออกจากกันโดยเด็ดขาด
6ในช่วงที่มะละกอยังเป็นต้นอ่อน อย่ารดน้ำมากเกิน เพราะจะทำให้รากเน่าตายได้ สังเกตใบจะเหลืองและต้นเหี่ยวลงไปและที่สำคัญอย่าให้โดดแดดจัดเกินไป เพราะจะทำให้ใบไหม้ ต้นแห้ง และอย่าให้ปุ๋ยหรือฉีดปุ๋ยทางใบโดยเด็ดขาด และเมื่อต้นอ่อนมะละกอโตได้ประมาณ 3 อาทิตย์ จะมีใบจริงออกมา 3 - 4 ใบ สามารถนำไปปลูกในแปลงได้เลย และควรนำต้นอ่อนลงปลูกในช่วงอายุไม่เกิน 1-1.5 เดือน เพราะหากต้นอ่อนอายุมากกว่านั้น อัตราการรอดจะต่ำมาก และมะละกอจะโตช้า
ด้วย 6 ขั้นตอนง่าย  เพียงเท่านี้รับรองผลเกินคาดครับ..*อย่าเพิ่งเชื่อ หากยังไม่ได้ลองทำ*


สอบถามข้อมูลและสั่งซื้อต้นพันธุ์ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.537386386284272.1073741825.396497500373162&type=3

ดาวน์โหลดเนื้อหาในหน้านี้




วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การปลูกมะนาว ในบ่อซีเมนต์

ที่ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ มีแปลงสาธิตการปลูกมะนาวในวงบ่อ
เพื่อบังคับให้ออกผลนอกฤดูกาล อันเป็นผลมาจากความสำเร็จในการพัฒนาดินและพันธุ์ตลอดจนวิธีการในการเพาะปลูก จนสามารถขยายผลสู่การเพาะปลูกของราษฎรในพื้นที่ได้อย่างกว้างขวางเจ้า หน้าที่ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ ได้เปิดเผยว่า การปลูกมะนาวนอกฤดูของศูนย์ฯจะปลูกในวงบ่อซีเมนต์โดยวางวงบ่อห่างกัน 1.20 เมตร ระยะระหว่างแถว 1.50 เมตร ปลูกแบบแถวคู่ เว้นเป็นทางเดิน 2 เมตร วางวงบ่อเป็นเลขคู่พร้อมวางระบบน้ำ แท็งก์น้ำ 2 ชุด ชุดแรกสูงประมาณ  5 วงบ่อ มีความจุน้ำได้ 1,200 ลิตร ผสมปุ๋ยน้ำชีวภาพผสมน้ำดีปล่อยรดต้นมะนาวในวงบ่อได้โดยตรง อีกชุดสูง 9 วงบ่อ จำนวน 2 แท็งก์ เก็บน้ำสะอาด เพื่อรดมะนาว
วงบ่อซีเมนต์ที่ใช้ปลูกมะนาวมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร ฝาวงบ่อขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 90 เซนติเมตร กว้าง 10 เซนติเมตร ดินผสมประกอบด้วย 3 ชนิด คือ หน้าดิน 3 ส่วน ขี้วัวเก่า 1 ส่วน และเปลือกถั่วเขียว 2 ส่วน ผสมคลุกเคล้ากัน ดินจำนวน 100 วงบ่อ ใช้ประมาณ 1 คันรถสิบล้อ ปูพื้นด้วยหน้าดินเป็นขั้นแรก จากนั้นใส่ขี้วัวเก่าเป็นชั้นที่ 2 ตามด้วยเปลือกถั่วเขียวเป็นชั้นบนสุด รดน้ำ 1 สัปดาห์วัสดุปลูกจะยุบตัวประมาณ 1 คืบ ขุดเปิดปากหลุมให้มีขนาดเท่ากับขนาดของถุงที่ใช้ชำปลูกต้นมะนาวให้พอดีกับ ระดับดินเดิม กลบดินแล้วกดทับรอบ ๆ ต้น เพื่อไม่ให้โยกคลอน ปักไม้เป็นหลักกันลมโยกต้นมะนาวช่วงแรกบังคับมะนาวออกดอกเพียงรุ่นเดียวคือ ช่วงเดือนตุลาคม และไปเก็บผลผลิตในช่วงเดือนเมษายนเท่านั้น โดยคอยปลิดดอกมะนาวทิ้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยมาจนกระทั่งถึงเดือน สิงหาคม-กันยายน
3-4 ปีที่ผ่านมามะนาวจะเริ่มมีราคาดีตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยไปจนถึงเดือน เมษายน ทีนี้จึงทำให้
มะนาวออกผลผลิต 2 รุ่น คือในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์รุ่นหนึ่ง โดยบังคับให้ออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม มีผลผลิตในเดือนมีนาคม อีกรุ่นหนึ่งบังคับให้ออกดอกในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม เดือนพฤษภาคมราคามะนาวจะถูกลง ช่วงนี้ทำการตัดแต่งกิ่งมะนาวและปลิดผลมะนาวที่ติดอยู่บนต้นทิ้งให้หมด เพื่อให้มะนาวพักต้นรอการออกดอกตามที่ต้องการในรุ่นต่อไป ซึ่งจะจำหน่ายได้ราคาดีโดยที่ผ่านมาพื้นที่ 1 ไร่เก็บมะนาวขายได้ไม่น้อยกว่า 1 แสนบาทต่อปี
นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เปิดเผยว่า ผู้ที่ต้องการเรียนรู้การปลูกมะนาวนอกฤดู ตามรูปแบบของศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 09.00-12.00 น. ทางเจ้าหน้าที่การเกษตรของศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูสิงห์ จะมาถ่ายทอดให้ได้รับความรู้กันอย่างเต็มพิกัดถึงกลางเมืองกรุงเทพฯให้ได้ รับรู้กันโดยทั่วกัน ภายในงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว “4,350 การทรงงานเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนณ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุง เทพมหานคร ช่วงบ่ายเวลา 13.30-16.30 น. จะเปิดอบรมเรื่อง การแปรรูปสัตว์น้ำ แบบเพิ่มมูลค่า ได้ราคาดี สำหรับผู้ปรารถนาและชมชอบการบริโภคอาหารทะเลทั้งที่ต้องการนำมาทำเป็นอาชีพ แบบมั่นคงหรืออาชีพเสริมก็ไม่ควรพลาดนาน ๆ จะมีโอกาสเช่นนี้สักครั้งหนึ่ง ทางศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี เมืองที่มีทั้งชายฝั่งทะเลและภูเขา ศูนย์การศึกษาที่มากประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการจากยอดเขาสู่ทะเล ได้ศึกษาพัฒนาเพิ่มเติมในการหากรรมวิธีในการถนอมอาหารที่สร้างอาชีพและราย ได้ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอาชีพใด ๆ
นอกจากนี้ยังมีการฝึกอบรมระยะสั้นในอีกหลายแขนงวิชาชีพภายในงานนี้ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือสนใจสมัครเข้าฝึกอบรมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น รับจำนวนจำกัดเพียง 100 คน และทุกที่นั่งรับปัจจัยการผลิตไปลองทำที่บ้านฟรี หมดเขตรับสมัคร วันที่ 10 กรกฎาคม 2556 นี้ ติดต่อสอบถามรายละเอียด โทร. 0-2447-8500-6 ต่อ 216 แฟกซ์ 0-2447-8532 ดาวน์โหลดใบสมัครที่ www.rdpb.go.th
การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์
สำหรับเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะนาวในวงบ่อ ซีเมนต์จำนวน 100 บ่อ จะใช้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่
เท่านั้น ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากในช่วงเริ่มแรก ส่วนค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่วงบ่อซีเมนต์และฝารองซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่าย กิ่งพันธุ์มะนาว, ระบบน้ำ ฯลฯ รวมเป็นเงินในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 วงบ่อ เป็นเงิน 27,000 บาทโดยประมาณ ต้นมะนาวในวงบ่อเมื่อมีอายุต้นเพียง 8 เดือน จะบังคับให้ต้นออกฤดูแล้งได้โดยใช้หลักการเดียวกับการปลูกลงดินคือคลุม พลาสติกให้กับต้นมะนาวในช่วงเดือนกันยายนและกระตุ้นการออกดอกในเดือนตุลาคม จะได้ผลผลิตมะนาวแก่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มะนาวราคาแพงที่สุด เท่ากับว่าในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น สามารถเก็บผลผลิตได้ในช่วงฤดูแล้ง

การเริ่มต้นจัดผังปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์
รายละเอียดของการเริ่มต้นการปลูกมะนาวในวงบ่อ ซีเมนต์ จะต้องวัดพื้นที่ กว้างxยาว ก่อน เพื่อจะ
หาพื้นที่ หลังจากนั้น เว้นทางเดินประมาณ 2 เมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 1.20 เมตร ระยะระหว่างแถว 1.50 เมตร ปลูกแบบแถวคู่แล้วเว้นเป็นทางเดิน 2 เมตร สภาพพื้นที่ปลูกจะต้องปรับให้เรียบเหมือนกับลานตากข้าว วัดระยะการวางวงบ่อ การวางวงบ่อซีเมนต์พยายามวางให้เป็นเลขคู่เพื่อง่ายต่อการวางระบบน้ำและ คำนวณแรงดันน้ำ แท็งก์จะแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกจะก่อให้สูง ประมาณ 5 วงบ่อ หรือมีความจุน้ำได้ 1,200 ลิตรจะใช้แท็งก์นี้เพื่อผสมปุ๋ยน้ำชีวภาพแล้วเปิดน้ำดีเข้าไปผสมปล่อยไปให้ ต้นมะนาวในวงบ่อได้โดยตรง ส่วนแท็งก์อีกชุดหนึ่งจะก่อให้สูงประมาณ 9 วงบ่อ จำนวน 2 แท็งก์ เพื่อกักเก็บน้ำสะอาดแล้วช่วยในเรื่องของแรงดัน

การเตรียมดินปลูกมะนาวและขนาดของวงบ่อซีเมนต์
ขนาดของวงบ่อซีเมนต์แนะนำให้เกษตรกรใช้ จะใช้ขนาดวงเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร แต่เดิม
ฝาวงบ่อคุณพิชัยใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร เท่ากับขนาดของวงบ่อ เมื่อปลูกไปนาน 2-3 ปี พบว่า รากของต้นมะนาวจะโผล่ออกมานอกวงและชอนลงไปในดิน ทำให้ควบคุมในเรื่องของการบังคับให้ออกนอกฤดูได้ยากมากขึ้น ปัจจุบัน จึงได้แนะนำเกษตรกรและแก้ไขให้ซื้อฝาวงบ่อที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าเส้น ผ่าศูนย์กลางของวงบ่อ ใช้ฝาวงบ่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 90 เซนติเมตร กว้างกว่า 10 เซนติเมตรดินผสมที่จะใช้ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะใช้วัสดุปลูกหลัก 3 ชนิด คือ หน้าดิน 3 ส่วน ขี้วัวเก่า 1 ส่วน และเปลือกถั่วเขียว 2 ส่วน ผสมคลุกเคล้ากัน การใช้เปลือกถั่วเขียวจะช่วยให้สภาพดินมีการระบายน้ำที่ดี ถ้าใช้แค่หน้าดินผสมกับขี้วัวจะทำให้ดินปลูกแน่น เวลาให้น้ำไป 3-4 วัน น้ำยังไม่ถึงข้างล่างของวงบ่อ ยังได้ยกตัวอย่างปริมาณของดินที่จะใช้ในการปลูกมะนาว จำนวน 100 วงบ่อ จะต้องใช้หน้าดินประมาณ 1 คันรถสิบล้อ เทคนิคในการผสมวัสดุปลูกจะต้องปูพื้นด้วยหน้าดินเป็นขั้นแรก หลังจากนั้น ใส่ขี้วัวเก่าเป็นชั้นที่ 2 แล้วตามด้วยเปลือกถั่วเขียวเป็นชั้นบนสุด หลังจากนั้นใช้เครื่องตีพรวนติดรถไถจะเร็วกว่าใช้แรงงานคน

การใส่วัสดุปลูกลงบ่อซีเมนต์มีเทคนิค
ที่ผ่านมาเกษตรกรที่ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ส่วนใหญ่จะใส่วัสดุปลูกในวงบ่อซีเมนต์เพียง
เสมอวงบ่อเท่านั้น เมื่อรดน้ำไปได้เพียงแค่สัปดาห์เดียว วัสดุปลูกจะยุบตัวลงมาประมาณ 1 คืบมือ ถ้าเกษตรกรเติมวัสดุปลูกลงไปจะไปกลบลำต้นมะนาว ปัญหาเรื่องโรคโคนเน่าจะตามมา ดังนั้น ในการใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อซีเมนต์จะต้องใส่ให้พูนเป็นภูเขาเลย และที่จะต้องเน้นเป็นพิเศษขณะที่ใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อนั้นคือ จะต้องขึ้นเหยียบวัสดุปลูกขอบๆ วงบ่อ บริเวณตรงกลางไม่ต้องเหยียบ การใส่วัสดุปลูกให้เป็นภูเขาจะช่วยในเรื่องดินยุบลงมาเสมอวงบ่อได้นานถึง 1 ปี

วิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ที่ถูกต้อง
หลังจากที่ใส่วัสดุปลูกลงในบ่อซีเมนต์เรียบ ร้อยแล้ว ให้เกษตรกรขุดเปิดปากหลุมให้มีขนาดเท่ากับ
ขนาดของถุงที่ใช้ชำต้นมะนาว (โดยปกติถ้าใช้กิ่งตอนมะนาว ควรจะชำต้นมะนาวไว้นานประมาณ 1 เดือน เท่านั้น ไม่แนะนำให้ซื้อต้นมะนาวที่ชำมานานแล้วหลายเดือน หรือชำค้างปี เนื่องจากจะพบปัญหาเรื่องรากขด ทำให้เจริญเติบโตช้าหรือต้นแคระแกร็น) รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 อัตราประมาณ 1 กำมือ ถอดถุงดำปลูกต้นมะนาวให้พอดีกับระดับดินเดิม กลบดินแล้วใช้เท้าเหยียบรอบๆ ต้น เพื่อไม่ให้โยกคลอน ปักไม้เป็นหลักกันลมโยกและแนะนำให้ใช้ตอกมัดต้นมะนาวไว้กับหลัก ตอกจะผุเปื่อยหลังจากปลูกไปนานประมาณ 2 เดือน ต้นมะนาวตั้งตัวได้แล้ว แต่ที่หลายคนได้ใช้ปอฟางหรือพลาสติคทาบกิ่งมัดกับหลักจะอยู่ได้นานก็จริง แต่ปัญหาที่จะตามมาจะทำให้ลำต้นมะนาวคอด มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้น หลังจากปลูกเสร็จให้เดินท่อ PE เจาะหัวมินิสปริงเกลอร์และวางท่อ PE พาดไปกับวงบ่อเลยเพื่อสะดวกต่อการทำงาน

ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ได้ตลอดทั้งปี
ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์สามารถปลูกได้ ตลอดทั้งปี ปลูกไปแล้วนับไปอีก 8 เดือน
เกษตรกรสามารถบังคับให้ต้นออกดอกได้ ถ้าเกษตรกรจะบังคับให้มะนาวออกฤดูแล้งในรุ่นแรกแนะนำให้ปลูกต้นมะนาวในช่วง เดือนมกราคม ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ในปีเดียวกันบังคับต้นให้ออกดอกได้โดยใช้หลักการเหมือนกับที่ปลูกลงดิน ผลผลิตมะนาวฤดูแล้งจะไปแก่และเก็บผลผลิตขายได้ราคาแพงในช่วงเดือน มีนาคม-เมษายนของปีถัดไป เท่ากับว่าการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ใช้เวลาปลูกเพียงปีเศษเท่านั้น เกษตรกรสามารถเก็บมะนาวฤดูแล้งขายได้

วิธีการรดน้ำต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ทำอย่างไร
ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ให้ใช้พลาสติคคลุมปากบ่อซีเมนต์เพื่อป้องกันน้ำหรือฝน
ที่ตกลงมาในช่วงแรกๆ แต่พบปัญหาว่าเมื่อเกษตรกรนำพลาสติคไปคลุมกลับรักษาความชื้นให้กับต้นมะนาว ใช้เวลานานวันกว่าดินจะแห้ง หรือเลือกใช้หลักการ 'ฝนทิ้งช่วง' ในแต่ละปีช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปี จะมีช่วงเวลาที่ฝนทิ้งช่วง ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ถ้าฝนไม่ตกติดต่อกัน 3-4 วัน ดินในวงบ่อจะเริ่มแห้ง ใบมะนาวจะเริ่มเหี่ยว หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นให้ต้นมะนาวออกดอกและติดผลได้

ผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ 2 รุ่น ต่อปี
ในช่วงเริ่มแรกของการบังคับมะนาวฤดูแล้งจะทำ ให้ต้นมะนาวออกดอกเพียงรุ่นเดียวคือ ช่วงเดือน
ตุลาคมและไปเก็บผลผลิตในช่วงเดือนเมษายนเท่านั้น ทำให้จะต้องคอยปลิดดอกมะนาวทิ้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยมาจนถึงเดือน สิงหาคม-กันยายน แต่ช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาสภาวะตลาดมะนาวผลผลิตจะเริ่มมีราคาดีตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยไป จนถึงเดือนเมษายน จึงปล่อยให้มะนาวให้ผลผลิต 2 รุ่น คือมีผลผลิตขายในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์รุ่นหนึ่ง (บังคับให้ต้นออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) และมีผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนอีกรุ่นหนึ่ง (บังคับให้ออกดอกในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม) พอเข้าสู่เดือนพฤษภาคมของทุกปีราคามะนาวจะถูกลง จะตัดแต่งกิ่งมะนาวในช่วงเวลานี้ พร้อมทั้งปลิดผลมะนาวที่ติดอยู่บนต้นทิ้งให้หมด

ตัดแต่งกิ่งมะนาวในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี
ตัดแต่งกิ่งมะนาวตาฮิติในวงบ่อซีเมนต์อย่าง หนัก ทุกๆ 3 ปี โดยจะเริ่มตัดแต่งกิ่งและปลิดผลทิ้ง
ทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม ในช่วงปีที่ 1-2 จะตัดแต่งบ้างแต่ไม่มากนัก จะมาตัดแต่งหนักเมื่อต้นมีอายุประมาณ 3 ปี ซึ่งในช่วงนั้นมักจะพบว่าต้นมะนาวเริ่มโทรม มีกิ่งแห้งเป็นจำนวนมาก การตัดแต่งกิ่งมีผลทำให้ต้นมะนาวแตกกิ่งออกมาใหม่และได้ผลผลิตมะนาวที่มี คุณภาพ หลังจากตัดแต่งกิ่งเสร็จในเดือนพฤษภาคม ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เป็นช่วงบำรุงต้นและสะสมอาหารเพื่อจะกระตุ้นการออกดอกรุ่นแรกในเดือนสิงหาคม


เมื่อปรับสภาพภูมิทัศน์แล้ว ก็สั่งวงท่อมาวางขนาดกว้างยาว 3x3 เมตร


วงที่ที่สั่งมานั้นมีความสวยงามดูดีงานเขาละเอียดมาก จากร้าน ส.ประดิษฐ์ จังหวัดพิจิตร ราคา วงท่อ 90 บาท ฝา 80 บาท


นำกากถั่วเขียวเข้ามในพื้นที่


ใช้รถไถขูดหน้าดินให้เป็นกองเพื่อเตรียมส่วนผลม


ได้ทำการเคลื่อนย้ายมูลวัวเข้ามาในพื้นที่ โดยซื้อจากหมู่บ้าน เจ็ดหาบ ตำบลเนินปอ อำเภอสมง่าม จังหวัดพิจิตร ในราคากระสอบละ 15 บาท


ทำการจ้างคนงานผสมส่วนผสมเข้าด้วยกันโดยใช้หน้าดิน 3 ส่วน มูลวัวค้างปี 2 ส่วน และกากถั่วเขียว 1 ส่วน โดยทำเองด้วยและจ้างคนงานด้วยโดยจ้าง วงละ 30 บาท


การใส่ดินในวงผมจะใส่จนพูนเลยครับตามตำราเค้าว่าพอเป็น หลังเต่า แต่ผมใส่เป็นภูเขาเลย แต่ก่อนปลูกก็จะเอาออกให้พอเป็นหลังเต่าครับเพราะช่วงยังไม่ปลูกจะรดน้ำก่อน กันยุบตัว (แต่ไม่ลืมที่จะเหยียบตรงขอบๅให้แน่น)


จากนั้นพักเรื่องสถานที่ไว้ก่อน อืมลืมบอกไปครับว่าเริ่มจากถมที่ จนเตรียมดินเสร็จนั้นใช้เวลาไม่นานครับคือ ถมที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2552 และวางวงที่และใส่ดิน เสร็จสิ้นวันปีใหม่พอดีครับ
วันที่ 7 มกราคม 2553 ผมมีโอกาส เดินทางไปจังหวัดชุมพรซึ่งก็เป็นบ้านเดิมครับเพื่อเยื่ยม พ่อแม่และญาติๆ ขากลับจึงได้แวะใช้บริการกิ่งมะนาวแป้น รำไพจาก สมิงบ้านไร่ โดยคุณเอนกครับ แต่ไม่มีเวลาได้ชมสวนมากนักเนื่องจากต้องรีบเดินทางกลับมาพิจิตรอีก



วันที่ 10 มกราคม 2553 หลังจากกลับมาถึงพิจิตร ก็รีบทำการเอากิ่งตอนที่ได้มา ลงถุงดำโดยใช้มูลหมูผสมกับขุยมะพร้าว (พ่อผมให้มาจากชุมพร เนื่องจากพ่อใช้เพาะเมล็ดปาล์ม)


จากนั้นช่วงที่รอมะนาวตั้งตัวในถุงดำ ก็มาคิดเรื่องระบบน้ำก็สรุปได้ว่าจะใช้มินิสปริงเกอร์โดยซื้ออุปกรณ์ดังนี้
ท่อพีวีซีขาด หนึ่งนิวครึ่ง
ท่อพีอี ความยาว 200 เมตร
หัวสปริงเกอร์ + ขา
สายไมโคร pe
ข้อต่อต่างๆ
ปั๊มขนาด 1 แรงม้า
วงท่อขนาด 100 cm 4 วง และอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ราคาที่ซื้อไปทั้งหมด 4800 บาท ครับ



และแล้วก็เริ่มทำแท๊งพักน้ำ ใช้วงท่อขาด 100 cm


ทำแท่นสำหรับวางปั๊มน้ำ


ทำการวางท่อต่างๆ พร้อมทั้งปักเสาไม้ไผ่เพื่อทำรั้วรอบๆสวนมะนาวของผม


เมื่อวางระบบทุกอย่างเรียบร้อย โดยทางออกของน้ำจากปั๊มจะทำท่อคืนกลับลงแท๊งเพื่อกรณีน้ำมีแรงดันมากเกินไป สรุปคือสามารถเริ่งและเบาได้


ทำรั้วและระบบน้ำเสร็แล้วครับ


แต่แล้วระบบน้ำก็เกิดปัญหาจนได้เมื่อ เริ่มทำการทดลองระบบน้ำครั้งแรก โดย เมื่อเปิดปั๊มแรงดันมันมากเกินไปทำให้น้ำกระจายออกนอกวงหมด แม้จะเปิดน้ำย้อนลดแรงดันแล้วก็ตาม สุดท้ายมาลงตัวที่ การเอาปั๊มออกโดยไม่ต้องใช้ปั๊ม


ผลจากการไม่ใช้ปั๊มช่วยดัน ทำให้การให้น้ำเป็นไปอย่างพอดีเหมาะสม โดยให้ครั้งเดียวทั้งสวนเลยไม่ต้องแบ่งโซนให้ จากภาพถ่ายนี้ถ่าย จากวงท่อสุดท้ายหรือวงที่ไกลที่สุดจากแท๊งน้ำ


เมื่อทุกอย่างลงตัว ก็เริ่มปรับแต่งดินจากทรงภูเขาให้เป็นทรงหลังเต่า ครับเพื่อรอการปลูก และมุงหลังคาให้นิดหน่อย


ทำการเคลื่อนย้ายกิ่งมะนาวที่ลงถุงดำไว้เข้ามาในพื้นที่เพื่อปลูก


ขุดหลุมกลางวงท่อให้พอดีขนาดถุงดำ


จากนั้นทำการปลูกๆๆๆๆๆๆๆ จนได้หน้าตาแบบนี้ครับ


เมื่อปลูกเสร็จใช้ตอกไม้ไผ่มัดลำต้นกับไม้ที่ปักไว้กันมันโยกเยก


และเอากากถั่วเขียวที่เหลือมาคลุมดินบนวงท่อเพื่อรักษาความชื้นครับ


สุดท้ายผมก็มีสวนมะนาวแบบในวงท่อซีเมนต์หน้าตาแบบนี้


ภาพบรรยากาศ หลังจากปลูกมะนาวในวงท่อได้ 12 วัน


ทำการพ่นยาฆ่าแมลง หนอนชอนใบ ซักหน่อย ด้วยอะบาแมกติน


หน้าตาของเครื่องพ่นยา


จากนั้นทำการพ่นไปรอบๆต้น ทั้งบนล่างทั่วๆ


ตุ่มตาชุดที่สองเริ่มแตกออกมาให้เห็น หลังจากชุดแรกออกใบและเริ่มแก่ไปก่อนหน้านี้แล้ว


หัวใจของการให้น้ำอยู่ที่นี่เดิมมีปั๊มดันน้ำ แต่ต้องถอดออกเพราะมันแรงเกินไป ใช้แรงดันแบบนี้ กำลังพอดีเลยครับ


ภาพถ่ายมุมสูง


กำลังเจริญเติบโต


หลังจากปลูกได้ 40 วันพอดี


หลังจากปลูกได้ 40 วันพอดี


เกิดความผิดพลาดอย่างแรงเลยครับ ใสปุ๋ยยูเรียให้มะนาววงท่อ แต่บางต้นชิดกับต้นมะนาวเกินไป เลยเกิดอาการเหี่ยวเฉา บางต้นก็ใหม้เป็นสีน้ำตาลเลยครับ โดนไป 26 ต้น ต้น เห็นทีแรกตกใจแทบสิ้นสติ แต่พอตั้งสติได้รีบเอาน้ำราดรดอย่างแรงและมากๆ จากนั้นอีก 2 ชั่วโมงต่อมาใบเริ่มชูตั้งขึ้น แต่มีอาการน่าเป็นห่วงอยู่ 3 ต้นกำลังดูแลอาการครับ


ต้นนี้ใหม้เลยครับ


สุดท้ายก็เป็นเช่นนี้ครับ ตายรวม 15 ต้นครับ


แต่ก็ไม่ท้อแท้ครับ เอากิ่พันธุ์มาใหม่ลงถุงดำไว้รอปลูกซ่อมครับ


เอาละครับมาดูบรรยากาศทั่วๆไปครับหลังจากปลูกได้ 2 เดือนกว่าๆ


ยอดอ่อนชุดที่สาม


หลังจากปลูกได้ 4 เดือนครึ่ง เริ่มทำคอกให้มะนาวแล้ว


อีกภาพ


อีกภาพ


ต้นนี้เป็นหนึ่งใน 15 ต้นที่ปลูกทดแทนชุดเก่าที่น็อคปุ๋ย ยูเรีย ครับ


กลุ่มเกษตรกร เข้ามาเยี่ยมดูงาน


ดูไกล้ๆครับมะนาวของผม 5เดือนครึ่ง


อีกมุม


บางต้นที่เป็นแคงเกอร์กำลังดีขึ้นครับ


อายุ 6 เดือนแล้วครับ


เริ่มออกดอกบ้างนิดหน่อย


แต่เด็ดทิ้งเพราะต้นอายุยังไม่เหมาะที่จะให้ติดผลตอนนี้


ในการใช้เชือกผูกคอกมะนาวนั้น ตอนแรกผมใช้เชือกฝางผูกปรากฏว่าไม่นานก็เปื่อยยุ่ย ต่อมาเปลี่ยนเป็นยางใน รถมอเตอร์ไซต์ตัดออกเป็นเส้นๆนำมาผูกใหม่ ปรากฏว่าเริ่มขาดแล้วครับ อายุพอๆกับเชือกฟาง ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจาก การที่มันต้องโดนแดดและโดนฝนน่ะครับ วันนี้เลยไปซื้อยางยืดสำหรับใช้ทำขอบกางเกงมาผูกมัดแทนครับ คิดว่า น่าจะมีอายุที่ยืนนานขึ้นครับ หาซื้อได้จากร้านขายผ้าทั่วๆไปครับ ม้วนนึงยาว 30 เมตร มีหลายราคาแล้วแต่ขนาด หน้ากว้างครับ


อายุ 8 เดือนแล้ว


ต่อมาอายุ 11 เดือนแล้ว


สวนมะนาวในปัจจุบันนี้


ออกลูกดกๆเลยครับ


เก็บลูก


ตอนกิ่งขยายพันธ์และจำหน่าย

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกกำลังใจทุกข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันเข้ามาครับ
หากต้องการชมสวนในปัจจุบัน คลิกที่นี่ครับ

สวนมะนาวแป้นท้ายไร่ บ้านวังกระทึง ต.เนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร
E-mail: webmaster@manowpan.com Tel: 086-202-2522, 089-153-8213, 087-520-8710
http://www.facebook.com/promrak
http://www.manowpan.com/g_manow1.php

ดาวน์โหลดเนื้อหาในหน้านี้

แลกลิงค์ + ลิงค์เพื่อนบ้าน



แลกลิงค์ของคุณได้ที่นี่ค่ะ
ลิงค์ของเรามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างนี้ค่ะ

หากคุณต้องการที่จะนำลิงค์ของคุณมาเพิ่มในเว็บบล๊อกของเราให้คุณส่งข้อมูลลิงค์ของคุณมาได้ที่ได้ที่ E-mail...... < so.saichool@hotmail.com > ค่ะ แล้วเราจะทำการนำลิงค์ของคุณลงในเว็บบล๊อกของเราโดยเร็วที่สุด
หมายเหตุคุณต้องนำลิงค์ของเราลงในเว็บไซต์ของคุณให้เรียบร้อยเสียก่อนโดยเราจะตรวจสอบหลังจากที่คุณส่งข้อมูลที่คุณต้องการแลกลิงค์ของคุณมายังอีเมล์ของเรา (ข้อมูลคือโค้ดลิงค์ของคุณ)
ก๊อปปี้โค้ดลิงค์ลิงค์นี่ไปวางในเว็บของคุณ